วิตามินซี (Vitamin C) หรือมีอีกชื่อเรียกว่า กรดแอสคอร์บิค (Ascorbic Acid) จัดเป็นวิตามินสารพัดประโยชน์ตัวหนึ่ง ซึ่งก็รวมไปถึงประโยชน์ในการรักษาสิวด้วย แต่ไม่ได้มีส่วนช่วยลดการเกิดสิวสักเท่าไร จะหนักไปทางช่วยรักษาริ้วรอย รอยแดง จุดด่างดำ จากสิวซะมากกว่า เนื่องจากวิตามินซีนั้นเป็นสารตั้งต้นสำหรับผิวในการสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจน ช่วยซ่อมแซมและเติมเต็มเซลผิวที่ถูกทำร้ายให้ดีดังเดิม ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น ซึ่งเหมาะกับคนที่เป็นรอยสิว หลุมสิวอย่างยิ่ง เพราะคนที่มีปัญหาแบบนี้คือคนที่คอลลาเจนที่อยู่ในผิวถูกทำลายอย่างรุนแรง บางรายที่เป็นหลุมสิวลึกๆนั้น ผิวบริเวณนั้นก็มักจะมีพังผืดไปยึดเกาะไว้ ทำให้เซลผิวไม่สามารถสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ได้
วิตามินซีเป็นสารอาหารจำเป็นสำหรับสัตว์บางอย่างรวมทั้งมนุษย์ คำว่า วิตามินซี รวมเอาสารประกอบทางเคมีที่ทั่วไปมีโครงสร้างคล้ายกันหลายชนิดที่เรียกว่า vitamer มีฤทธิ์วิตามินซีในร่างกายสัตว์ ซึ่งรวมกรดแอสคอร์บิคและเกลือของมัน เกลือแอสคอร์เบต ดังเช่น โซเดียมแอสคอร์เบต (sodium ascorbate) และแคลเซียมแอสคอร์เบต (calcium ascorbate) มักใช้ในอาหารเสริม ซึ่งสลายเป็นแอสคอร์เบตเมื่อย่อย ทั้งแอสคอร์เบตและกรดแอสคอร์บิกมีอยู่ตามธรรมชาติในร่างกาย เพราะทั้งสองแปลงรูปเป็นกันและกันได้แล้วแต่ความเป็นกรด (pH) ส่วนรูปแบบโมเลกุลที่ออกซิไดซ์ เช่น กรดดีไฮโดรแอสคอร์บิก (DHA) สามารถเปลี่ยนกลับเป็นกรดแอสคอร์บิกด้วยตัวรีดิวซ์ (reducing agent)
ประโยชน์ของวิตามินซี
- มีส่วนช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย ให้ผิวมีความเปล่งปลั่งและดูอ่อนเยาว์ยิ่งขึ้น
- มีฤทธิ์เป็นยาระบาย แก้ปัญหาท้องผูก และช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดียิ่งขึ้น แต่ทั้งนี้หากทานมากไปก็อาจทำให้เกิดอาการท้องเสียแทนได้
- ช่วยลดความเสี่ยงมะเร็ง เพราะวิตามินซีจะทำหน้าที่ในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์ที่ผิดปกติ และขจัดสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย
- ป้องกันการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย ลดอาการไข้หวัด และต่อต้านเชื้อไวรัสต่างๆ
- เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย
- สลายไขมัน ลดการเกิดเส้นเลือดอุดตันได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งยังช่วยลดความดันได้ดี
- ช่วยให้ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่าและมีชีวิตชีวามากขึ้น
- บำรุงเหงือกและฟันให้แข็งแรง ป้องกันโรคลักปิดลักเปิดและปัญหาเลือดออกตามไรฟันได้เป็นอย่างดี
- ช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็ก ทำให้ร่างกายได้รับธาตุเหล็กอย่างเพียงพอ
- ช่วยรักษาแผลผ่าตัดให้หายเร็วยิ่งขึ้น โดยเฉพาะคุณแม่ที่คลอดด้วยวิธีการผ่าตัด
อาการเมื่อร่างกายขาดวิตามินซี
- มีเลือดออกตามไรฟัน หรือมักจะมีอาการปวดบริเวณเหงือกบ่อยๆ ซึ่งบอกได้ถึงเหงือกที่ไม่แข็งแรง
- เจ็บกล้ามเนื้อ และมีอาการอ่อนแรง ทั้งที่ไม่ค่อยได้ยกของหนักสักเท่าไหร่ และมักจะมีอาการปวดแปลบๆ บ่อยๆ
- ปากแห้งแตกเป็นขุย แม้ว่าจะเป็นช่วงหน้าฝน
- แผลหายช้ากว่าปกติ
- อ่อนเพลียและรู้สึกเบื่ออาหาร อยากนอนนอยู่ตลอดเวลา แถมไม่ว่าจะทำอะไรก็รู้สึกไม่ค่อยกระปรี้กระเปร่าเอาเสียเลย
- ผิวแห้งกร้านคล้ำเสีย ถึงแม้ว่าจะบำรุงผิวอยู่เป็นประจำก็ตาม เนื่องจากเมื่อร่างกายขาดวิตามินซี ก็จะทำให้ขาดคอลลาเจนที่เป็นตัวช่วยสำคัญในการบำรุงผิวไปด้วย
- เสี่ยงโรคหัวใจ โรคกระดูกและโรคหลอดเลือดสูง
- ภูมิต้านทานต่ำ เป็นหวัดง่าย มักจะเป็นๆ หายๆ อีกทั้งยังเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัสได้สูง
ปริมาณวิตามินซีที่ควรได้รับต่อวัน
องค์การอนามัยโลก ได้แนะนำว่า หากเรากินผักผลไม้ให้ได้ 400 กรัมต่อวัน จะเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ซึ่งการกินผักผลไม้ 400 กรัมนั้น ร่างกายจะได้รับวิตามินซีประมาณ 210-280 มิลลิกรัม ถือว่าเพียงพอต่อความต้องการวิตามินซีของร่างกายต่อวัน นอกจากจะได้รับวิตามินซี ผักผลไม้ ยังเป็นแหล่งสำคัญของใยอาหาร แร่ธาตุ วิตามินชนิดอื่นๆ และ สารพฤกษเคมีต่างๆ ที่เป็นประโยชน์กับร่างกายอีกด้วย