ชาไทย ชาเขียว มีที่มาและแตกต่างกันอย่างไร

หากจะพูดถึงชา ทุกคนคงรู้จักเป็นที่สองรองจากกาแฟแน่นอน “ชา”เป็นเครื่องดื่มที่สามารถทานได้ทุกช่วงวัย ไม่ว่าจพะเป็น วัยรุ่น วัยทำงาน วัยสูงอายุ เป็นต้น และเป็นเครื่องดื่มที่สามารถหาได้ตามร้านคาเฟ่ ร้านอาหาร หรือร้านสะดวกซื้อไม่แพ้จากกาแฟเช่นเดียวกัน

ซึ่ง “ชาเขียว” และ “ชาไทย” ทุกคนทราบดีอยู่แล้วว่า แตกต่างกันแค่สีของชา แต่รู้หรือไม่ว่า ที่มาของชาทั้งสองชนิด มีที่มาไม่เหมือนกัน วันนี้ YAO จะมาอธิบายถึงความแตกต่างของชาทั้งสองชนิดนี้กัน

จุดกำเนิด “ชาไทย”

ชาไทย เป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก สามารถพบได้ทั่วไปในร้านอาหารไทยในสหรัฐอเมริกา ด้วยความโดดเด่นของสีส้มอันเป็นเอกลักษณ์ของชาไทยที่มาพร้อมกับรสชาติหอมเข้มของชาแดง ผสานเข้ากับความหวานของน้ำตาลทราย และความนุ่มนวลของนมสด จึงทำให้ชาไทยเป็นเมนูที่ช่วยดับกระหายและลดความเผ็ดร้อนของอาหารไทยได้เป็นอย่างดี

ต้นกำเนิดของชาไทยมาจากการใช้ใบชาซีลอน แล้วนำมาปรับแต่งสี กลิ่น และรสชาติให้หอมหวานถูกปากคนไทยจนถึงปัจจุบัน ซึ่งวัฒนธรรมการดื่มชาของคนไทยก็สืบทอดมาจากวัฒนธรรมจีนที่ส่งต่อมาจากคนจีนที่อพยพย้ายถิ่นฐานมาอาศัยในไทยจนมีคนไทยเชื้อสายจีนนั่นเอง

ชาไทย “ทำไมต้องใส่นม”

สืบเนื่องมาจากตอนที่ชาได้เข้ามา ประเทศไทยก็ได้มีการติดต่อค้าขายกับประเทศอินเดียอยู่เช่นกัน จึงได้รับอิทธิพลในการเติมนมและน้ำตาลลงในชามาด้วย จนเกิดเป็นสี “ส้ม” สะดุดตา และต่อมาในปี พ.ศ. 2446 ได้มีการก่อตั้งโรงน้ำแข็งเป็นแห่งแรก ทำให้น้ำแข็งถูกเติมเข้าไปเพื่อเพิ่มความเย็นสดชื่นให้กับเครื่องดื่มต่างๆ รวมถึงชาไทยอีกด้วย จนกระทั่งในช่วงปลายรัชกาลที่ 6 ร้านกาแฟโบราณมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้คนทั่วไปเริ่มรู้จักชาไทยในรูปแบบที่มีการใส่นมและน้ำตาลจนคุ้นชินมาถึงทุกวันนี้

จุดกำเนิด “ชาเขียว”/ ชาเขียว มาจากญี่ปุ่น จริงหรือไม่

ชาเขียว มีต้นกำเนิดมาจากประเทศ “จีน” มากกว่า 4,000 ปีมาแล้ว เหตุที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นที่รู้จักในด้านการผลิตใบชาคุณภาพ เกิดขึ้นจากนักบวชชาวญี่ปุ่นที่ชื่อว่า Eichu จากวัด Bonshakuji ในจังหวัดไอจิ ได้เดินทางไปเป็นทูตเรียนรู้เรื่องต่างๆ จากประเทศจีนรวมทั้งได้ศึกษาเรื่องยาสมุนไพรจากจีน จนได้รู้จัก “ชา” แล้วจึงนำกลับมาถวายจักรพรรดิซางะ

เมื่อจักรพรรดิซางะได้ดื่มชาก็ชื่นชอบในรสชาติมาก รวมไปถึงสรรพคุณชาเขียวที่ดีต่อสุขภาพ จนได้มีการชงชาดื่มกันในหมู่ชนชั้นสูงเรื่อยมาจนถึงผู้คนทั่วไป ชาวญี่ปุ่นจึงได้มีการปลูกเพราะต้นชา และคิดค้นกรรมวิธีการผลิตชาเขียวชนิดต่างๆ อาทิ มัทฉะ เซนฉะ เกนไมฉะ เคียวคุโระ ฯลฯ รวมไปถึงพิธีชงชาหรือที่เรียกว่า ที่เรียกว่า ซะโด (Sadou) หรือ ชะโด (Chadou) ที่โด่งดังไปทั่วโลกอีกด้วย

ประโยชน์ของ “ชาไทย” และ “ชาเขียว”

ผลิตภัณฑ์ทั้งสองตัวมีจุดร่วมเดียวกันคือ เป็นผลผลิตที่มีต้นกำเนิดมาจากต้นชา (Camellia Sinensis) ด้วยกันทั้งคู่ (แต่ชาไทยบางแห่งก็มาจากใบเมี่ยง) ฉะนั้นหากพูดถึงประโยชน์ชาเขียวหรือชาไทย ล้วนมีข้อดีที่เหมือนกัน ซึ่งการดื่มชามีข้อดีดังนี้

  • ต้านอนุมูลอิสระในชาประกอบด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ทรงพลังหลายชนิด โดยเฉพาะ Epigallocatechin gallate (EGCG) สารต้านอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์แรงมากกว่าวิตามินอีถึง 20 เท่า คาเทชินเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ สามารถจับกับอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของโรคหลายชนิด เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ และภาวะไขมันในเลือดสูง เป็นต้น การดื่มชาจึงช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคเหล่านี้ได้
  • รักษาสุขภาพช่องปาก สารโพลิฟีนอล (Polyphenols) ในน้ำชาจะช่วยยับยั้งเติบโตของแบคทีเรียในช่องปาก ที่สามารถก่อโรคในช่องปากและทำให้ฟันผุได้ นอกจากนี้ยังมีสารคาเทชินที่ช่วยเคลือบฟันให้แข็งแรงป้องกันฟันผุ แต่การดื่มชาในปริมาณมากเกินไปก็อาจทำให้ฟันเหลืองได้
  • ช่วยป้องกันเบาหวาน ข้อดีของสารโพลิฟีนอลนั้นยังช่วยป้องกันเบาหวานชนิดที่ 2 ลดระดับน้ำตาลในเลือด โดยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์อะไมเลสไว้ ส่งผลให้ย่อยแป้งชาลงและช่วยให้ร่างกายเพิ่มขึ้นระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างช้าๆ ไม่เร็วจนเกินไป
  • ช่วยการทำงานของระบบประสาท ชามีสาร L-Theanine ที่ออกฤทธิ์กับระบบประสาทส่วนกลาง ช่วยให้สมองปล่อยคลื่นสมองอัลฟา (Alpha Brain Wave) มากขึ้น และลดคลื่นสมองเบต้า (Beta Brain Wave) ทำให้ช่วยผ่อนคลายและลดความเครียด ส่งเสริมให้มีสมาธิมากขึ้น ไม่หงุดหงิดง่าย ลำดับความคิดเป็นระบบระเบียบมากขึ้น ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

YAO INNOFOOD PLUS CO.,LTD.
บริษัท วายเอโอ อินโนฟู้ด พลัส จำกัด

444 หมู่ 4 ต.หนองหาร อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ 50290

Copyright © 2024 YaoCordyceps