กาแฟ ถือเป็นเครื่องดื่มที่นิยมกันในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นหนุ่มสาวในวัยทำงาน หรือวัยรุ่นนักเรียน นักศึกษาบางกลุ่ม กาแฟเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ อาจจะเป็นเพราะการทานกาแฟอาจทำให้ร่างกายสดช่น กระปรี้กระเปร่า ทำให้มีกำลังที่จะออกไปใช้ชีวิตประจำวันได้เต็มที่ทั้งวัน
โดยในปัจจุบัน กาแฟได้แพร่หลายอยู่ในท้องตลาดเป็นจำนวนมาก โดยมีหลายผลิตภัณฑ์ เช่น กาแฟปรุงำเรฌจ กาแฟคั่วบดเป็นต้น ซึ่ง “กาแฟปรุงสำเร็จ” ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน ซึ่งเพียงแค่ฉีกซอง เติมน้ำ ก็สามารถชงดื่มได้สะดวก
กาแฟ สามารถแบ่งออกได้กี่สายพันธุ์
- กาแฟสายพันธุ์อราบิก้า (Arabica) เมล็ดกาแฟอราบิก้าเป็นสายพันธุ์ที่นิยมปลูกมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของโลกถึงร้อยละ 80 และคนไทยจะดื่มกาแฟชนิดนี้มากที่สุด เนื่องจากเป็นเมล็ดกาแฟที่ให้กลิ่นหอม และรสชาตินุ่มละมุนมีหลายมิติ อีกทั้งมีปริมาณคาเฟอีนที่ไม่สูงมาก อยู่ที่ 1.1 – 1.7 เปอร์เซ็นต์ จึงทำให้ดื่มง่ายกว่าเมล็ดกาแฟชนิดอื่นๆ
- กาแฟสายพันธุ์โรบัสต้า (Robusta) โรบัสต้าเป็นกาแฟได้รับความนิยมรองจากอราบิก้า แต่เหมาะกับคอกาแฟที่ชอบความเข้มข้นเป็นอย่างมาก มีความเข้มและขมกว่าอราบิก้า ไม่ค่อยติดรสชาติเปรี้ยว บอดี้หนักแน่น มีระดับน้ำตาลและระดับกรดที่ต่ำ รสชาติจึงจะค่อนข้างฝาด และมีปริมาณคาเฟอีนอยู่ที่ 2 – 4.5 เปอร์เซ็นต์ สำหรับใครที่ไม่ชินเมื่อดื่มไปอาจมีการเวียนหัวได้เล็กน้อย เมล็ดกาแฟโรบัสต้าจึงนิยมนำไปทำเป็นกาแฟสำเร็จรูปหรือกาแฟแบบ 3 in 1 จำหน่ายตามร้านค้ามากกว่า
- กาแฟสายพันธุ์เอ็กซ์เซลซ่า (Excelsa) เมล็ดกาแฟสายพันธุ์เอ็กซ์เซลซ่านั้นมีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกา โดยลักษณะของเมล็ดนั้นจะคล้ายกับกาแฟโรบัสต้า กาแฟเอ็กซ์เซลซ่านี้ได้รับความนิยมในแอฟริกา แต่สำหรับในประเทศอื่นๆ ยังคงได้รับความนิยมไม่มากเท่าที่ควร เนื่องจากมีความเข้มข้นในเรื่องของรสชาติที่มากจนถึงขมพร่าเลยทีเดียว แต่ว่ากันว่าชาวแอฟริกันสามารถดื่มกาแฟชนิดนี้ได้ตลอดทั้งวัน
- กาแฟสายพันธุ์ลิเบอริก้า (Liberica) เป็นอีกหนึ่งสายพันธุ์ที่ไม่ค่อยได้รับความนิยมในตลาดโลกมากนัก โดยคิดเป็นเพียง 1-2 เปอร์เซ็นต์ ของกาแฟทั้งโลกเท่านั้น เมล็ดกาแฟลิเบอริก้ามีถิ่นกำเนิดในไลบีเรียและไอวอรีโคสต์ โดยปัจจุบันมีมาเลเซียที่มีการปลูกกาแฟสายพันธุ์สายลิเบอริก้ามากถึง 90-95 เปอร์เซ็นต์ ของพื้นที่ปลูกทั่วประเทศ
กระบวนการผลิตกาแฟ สามารถเเบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ ได้แก่
- กาแฟคั่วบด เป็นการเก็บผลเชอร์รีกาแฟสดๆ มาจากต้น ผ่านกระบวนการผลิตจนเหลือแต่เมล็ด จากนั้นนำมาคั่วด้วยโปรไฟล์เฉพาะ มีระดับการคั่วที่ต่างกันออกไป ทั้งคั่วอ่อน คั่วกลาง และคั่วเข้ม
- กาแฟสำเร็จรูป เป็นการนำกาแฟคั่วบด มาสกัดเป็นน้ำกาแฟแล้วนำไปแปรรูปให้เป็นผง ซึ่งมีระบบการผลิต 2 ระบบ คือ ระบบพ่นแห้ง และระบบแช่เยือกแข็ง
- ระบบพ่นแห้ง (Spray drying) เป็นระบบการผลิตที่นำเมล็ดกาแฟไปต้มน้ำร้อนให้เป็นน้ำกาแฟ จากนั้นนำมาพ่นให้เป็นฝอยละเอียดผ่านไปในอากาศร้อน น้ำจะถูกทำให้ระเหยออกไปเหลือแต่ผงกาแฟละเอียด มีลักษณะเป็นผงสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำแล้วแต่ชนิดของเมล็ดกาแฟที่ใช้
- ระบบแช่เยือกแข็ง (Freeze drying) เป็นระบบการผลิตที่มีการนำน้ำกาแฟเข้มข้นแช่เย็นด้วยอุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็งในความดันสูงจนเป็นเกล็ด เพื่อให้น้ำระเหยออกอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องเปลี่ยนสภาพ จะได้กาแฟผงสำเร็จรูปในรูปเกล็ดแข็ง
รสชาติและกลิ่นหอมของกาแฟคั่วบดกับกาแฟสำเร็จรูปต่างกันอย่างไร ?
- กาแฟคั่วบด มีความสดใหม่และมีความหอมที่เป็นเอกลักษณ์ของเมล็ดกาแฟแต่ละตัวมากกว่ากาแฟสำเร็จรูป โดยจะได้รสชาติของกาแฟที่แท้จริงทั้งความหวานเปรี้ยวที่เป็นธรรมชาติ
- กาแฟสำเร็จรูป จะมีรสชาติและกลิ่นหอมของกาแฟที่แท้จริงลดน้อยกว่ากาแฟคั่วบด เนื่องจากต้องผ่านกระบวนการต่างๆ ก่อนจะแปรรูปเป็นผง แต่จะได้กลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ไปอีกแบบ และรสชาติจะเหมือนเดิมทุกแก้วหากชงด้วยปริมาณน้ำเท่าเดิม
กลิ่นและรสชาติของกาแฟ
ด้วยวิธีการผลิตที่ต่างกัน รสชาติและกลิ่นของกาแฟจึงต่างกันไป กาแฟคั่วบดจะสามารถกักเก็บน้ำมันเมล็ดกาแฟ (Coffee Oil) เอาไว้ได้ดีกว่า ทำให้รสชาติและสัมผัสเข้มข้น มีกลิ่นหอมที่โดดเด่นของสายพันธุ์กาแฟอย่างชัดเจน และยังมีระดับการคั่วกาแฟต่างกัน เช่น คั่วอ่อน คั่วกลาง คั่วเข้ม
ส่วนกาแฟสำเร็จรูป จะสูญเสียน้ำมันเมล็ดกาแฟ (Coffee Oil) ไปบางส่วน ส่งผลให้รสชาติเบาบางกว่าและกลิ่นจางหายไปบ้าง แต่ก็เหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องการรสชาติกาแฟที่เข้มมาก แล้วยังมีการใส่ส่วนผสมอื่น ทำออกมาเป็นรสชาติต่าง ๆ มากมายให้เลือกอีกด้วย
ปริมาณคาเฟอีน
โดยหลักแล้ว ปริมาณคาเฟอีนจะขึ้นอยู่กับสายพันธุ์กาแฟที่ใช้ ทั้งนี้ เนื่องด้วยกระบวนการผลิต ส่งผลให้ปริมาณคาเฟอีนในผงกาแฟสำเร็จรูปและกาแฟคั่วบดต่างกัน ในกาแฟคั่วบดมีคาเฟอีนที่มากกว่า โดยอยู่ที่ประมาณ 80-120 มิลลิกรัมต่อถ้วยกาแฟ 1 แก้ว อีกทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ โพแทสเซียม แมกนีเซียม แคลเซียม และโซเดียมอยู่ในปริมาณมากกว่า ส่วนกาแฟสำเร็จรูปนั้นจะมีปริมาณคาเฟอีนที่สูง 60-80 มิลลิกรัมต่อถ้วยกาแฟ 1 แก้ว
ประโยชน์ของการดื่มกาแฟ
- ช่วยป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ B
- ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ป้องกันโรคหัวใจ
- ช่วยกระตุ้นสมองให้ทำงานได้เร็วขึ้น และมีสมาธิ
- ช่วยป้องกันโรคหอบ
- มีกรดอะซิติก ช่วยป้องกันโรคมะเร็งตับ มะเร็งลำไส้ และมะเร็งช่องปาก
- ช่วยลดการเกิดโรคตับจากการดื่มสุรา
- ช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะจากการเมาสุรา
- การดื่มกาแฟหลังอาหารช่วยลดความอ้วนได้
- กาแฟเข้มข้นจะทำให้ออกไซด์แตกตัวช่วยชะลอความแก่